วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


                              อาหารคาว

ข้าวต้มสามกษัตริย์

เมื่อวันที่ 24 เวลาเช้า เสด็จทรงเรือนฉลอมแล่นใบออกประพาสละมุที่เขา จับปลาตามปากอ่าวแม่กลอง มีเรือฉลอมแล่นไปในกระบวน
เสด็จ 3 ลำดับด้วยกัน เที่ยวซื้อกุ้งปลาที่เขาจับได้ตามละมุ แล้วต้มข้าวต้มสามกษัตริย์ขึ้นในเรือฉลอม
ข้าวต้มกษัตริย์ นั้นคือ ต้มอย่างข้าวต้มแต่ใช้ปลาทู กุ้ง กับปลาหมึกสดแซกแทนหมู เป็นของทรงประดิษฐ์ขึ้นในเช้าวันนั้นเองตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อย เหมือนวันนั้นเลย”

https://infothaifood.wordpress.com/2010/09/01/

ส่วนผสมและสัดส่วน


1. ข้าวสารข้าวกล้อง 1 1/2 ถ้วย
2. กุ้งทะเลไม่เอาเปลือก 8-10 ตัว
3. ปลาหมึกกล้วยหั่นเป็นวง 1 ตัว
4. เนื้อปลาทูสดไม่เอาก้าง 8-10 ชิ้น
5. กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ
7. ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำเปล่า 8 ถ้วย
10. ขึ้นฉ่ายสับ 1/2 ถ้วย (ใส่ตามชอบ)
11. พริกไทยป่น (ตามชอบ)

วิธีปรุง
 1. ต้มน้ำเปล่าให้เดือด ใส่กุ้ง ปลาหมึก และปลาลงไปลวกให้สุกแล้วตักขึ้น ปิดไฟ เก็บน้ำลวกเอาไว้
2. ใส่น้ำมันลงในหม้อ ตามด้วยกระเทียมลงไปผัดจนเหลือง
3. ใส่ข้าวสารลงไปผัดกับกระเทียมประมาณ 5 นาที เติมน้ำที่ลวกอาหารทะเลลงไป ต้มไปเรื่อยๆด้วยไฟกลางจนเม็ดข้าวบาน
4. ปรุงด้วยน้ำปลา ซอสปรุงรส แล้วจึงใส่เครื่องทะเลลงไป คนให้เข้ากัน ต้มสักครู่จึงปิดเตา
5. ตักข้าวต้มใส่ถ้วยเสิร์ฟ โรยด้วยพริกไทยป่นและขึ้นฉ่ายสับ

  เคล็ดลับหน้ารู้
กินอาหารทะเลลดคอเลสเตอรอล
ในอาหารทะเลทุกชนิด มีสารไอโอดีนสูงช่วยให้ไม่เป็นโรคคอหอยพอก และยังมี โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัวอยู่สูง มีผลช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ ป้องกันการเลือดจับตัวเป็นก้อนซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว และยังช่วยพัฒนาสมองและพัฒนาระบบประสาท ก่อให้เกิดผลดีต่อการรักษาโรคความจำเสื่อมได้อีกด้วย

https://th.openrice.com/th/recipe/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C/3437



ขนมจีนกุ้งสด (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา)

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า พระวรวงศ์เธอพระองศ์เจ้าสุทธสิริโสภา อดีตองค์ประธานมูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าเพื่อเยาวชน โปรดการทำอาหารอย่ามาก นอกจากประทานเลี้ยงผู้ใกล้ชิด และผู้มาชวยเหลืองาน
ณ วังที่ประทับแล้ว พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา ยังทรงเปิด "ร่วมจิตตฺครัว"เพื่อสอนการทำอาหาร
โดยเริ่มสอนการทำแพนเค้กด้วยพระองค์เอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ขนมจีนกุ้งสดเครื่องปรุง
-น้ำปลา 3½ ช้อนโต๊ะ
-น้ำมะนาว 6 ช้อนโต๊ะ 
-น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
-พริกขี้หนูสับเผ็ดมากน้อยตามใจชอบ
ส่วนผสมและสัดส่วน
-กุ้งสดตัวใหญ่ 4 - 5 ตัว
-มะเขือเทศลูกใหญ่ 3 ลู
-หอมแดง 5 - 6 กลีบ
-พริกชี้ฟ้าเขียว แดง 5 เม็ด
-ขนมจีน 1 ก

วิธีการปรุง
1. นำกุ้งไปล้างทำความสะอาด แล้วนำไปเผา แกะเปลือกออก หั่นเป็นชิ้น ๆ 
2. เผามะเขือเทศ หอมแดง พริกชี้ฟ้า จากนั้นลอกผิวที่ไหม้ ๆ ออก หั่นเป็นชิ้นเหลี่ยมลูกเต๋า
3. จากนั้นนำกุ้งและผักที่เผาเอาไว้มาปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทรายผสมให้เข้ากัน เติมน้ำเล็กน้อยเป็นอันเสร็จ
4. ก่อนเสิร์ฟให้ตักขนมจีนใส่จานราดด้วยส่วนผสมที่ปรุงรสสำเร็จแล้ว โรยหน้าด้วยพริก

ทับทิมกรอบ
เป็นขนมหวานแบบไทย ทับทิมกรอบเป็นขนมหวานที่รับประทานได้ทุกฤดูกาล นิยมมากที่สุดในฤดูร้อน รับประทานแล้วหอมหวานเย็นอร่อยชื่นใจคลายร้อนได้ดี ประกอบด้วยเม็ดทับทิมกรอบสีแดงสดใสและเม็ดทับทิมกรอบสีชมพูสวย เมื่อเคี้ยวแล้วกรอบมันด้วยรสชาติของแห้ว มีน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลทราย ลอยด้วยดอกมะลิ มีกะทิสดจากการคั้นมะพร้าว น้ำแข็งบดละเอียดหรือน้ำแข็งทุบให้เป็นเม็ดเล็ก ๆ รสชาติหอมชื่นใจ

ครื่องปรุง+ส่วนผสม
* แห้ว 800 กรัม
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทับทิมกรอบ
  (ล้าง, ปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า)
* กะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง
* เกลือป่น 2 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
* น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
* น้ำหวานแดง 1 1/2 ถ้วยตวง
* แป้งมัน 500 กรัม
* ขนุนฉีกเป็นฝอย, เมล็ดข้าวโพดสุก
   (สำหรับโรยหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้)                      
วิธีทำ
1. นำแห้วที่หั่นเสร็จแล้วไปแช่ในน้ำแดงประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ
2. นำแห้วที่แช่ในน้ำแดงไปคลุกในแป้งมันให้ติดผิว ค่อยๆคลุกให้ติดทั่วผิวแห้วทั้งหมด จากนั้น จึงนำไปต้มในน้ำเดือดจนสุกจึงนำออกมาแช่น้ำเย็น (วิธีสังเกตุ : แห้วสุกแล้วจะลอยขึ้นเหนือน้ำ)
3. เตรียมทำน้ำเชื่อม โดยผสมน้ำตาลกับน้ำและนำไปต้มจนเดือด คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายดี แล้วจึงปิดไฟ
4. นำกะทิและเกลือไปใส่ในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี จึงปิดไฟ
5. นำเมล็ดทับทิม ไปใส่ในถ้วยเสริฟ โรยหน้าด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ราดด้วยน้ำเชื่อม,น้ำกะทิ, ขนุนฝอยและข้าวโพด (ถ้าต้องการ) เสริฟทันทีเป็นอาหารว่าง คลายร้อนในวันสบายๆ


















ขนมหวานของกินเล่น

ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง (เท้าทองกีบม้า)

เมื่อสมัยอยุธยาเริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย “มารี กีมาร์” หรือ “ท้าวทองกีบม้า
ขนมฝอยทอง
1.ส่วนผสม
2.ไข่แดงเป็ด
3.ไข่แดงไก่
4.น้ำตาลทราย
5.ใบเตย
6.กลิ่นดอกมะลิ
7.เทียนอบขนม

วิธีทำ

1. น้ำตาลทราย น้ำ ตั้งไฟพอเดือดน้ำตาลละลาย
2. ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง ตั้งไฟเคี่ยวต่อ
3. ให้น้ำเชื่อมมีลักษณะไม่ข้นหรือใสเกินไป เหมาะสำหรับโรยฝอยทอง
4. ตอกไข่ แยกไข่ขาวออกใช้แต่ไข่แดง และเก็บน้ำไข่ขาวที่ใสไม่เป็นลิ่ม เรียกน้ำค้างไข่
5. นำไข่แดงใส่ผ้าขาวบางรีดเยื่อไข่ออก ผสมไข่แดงกับน้ำค้างไข่ตามส่วน คนให้เข้ากัน
6. เตรียมกระทะทองใส่น้ำเชื่อมเดือด ๆ ไว้ ทำกรวยด้วยใบตอง หรือใช้กรวยโลหะใส่
7.ไข่แดงโรยในน้ำเชื่อมเดือด ๆ ไปรอบ ๆ ประมาณ 20-30 รอบ เส้นไข่สุกใช้ไม้แหลม
8. สอยขึ้นจากน้ำเชื่อม พับเป็นแพ อบด้วยควันเทียนหลังจากเย็นแล้ว
 ขนมทองหยิบ

ส่วนผสม
1.ไข่เป็ด 10 ฟอง 
2.น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง 
3.น้ำลอยดอกไม้ 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.ผสมน้ำลอยดอกไม้ น้ำตาลทราย เคี่ยวให้เป็น้ำเชื่อม สำหรับหยอด
2.แยกไข่ขาวและไข่แดงใช้แต่ใข่แดงตีให้ขึ้นฟูจนไข่เปลี่ยนเป็นสีนวล
3.ตักไข่หยอดใส่ในน้ำเชื่อม ครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ให้ไข่เป็นแผ่น หยอดให้เต็มกระทะ รอให้ไข่สุก ตักแผ่นไข่ที่หยอดไว้ใส่ถาดใช้มือจับเป็นจีบ ตามต้องการ แล้วหยิบใส่ถ้วยตะไล รอให้เย็นแล้วจึงแคะออกจากถ้วยตะไล
หมายเหตุ
เวลาตักไข่หยอดลงในน้ำเชื่อม ต้องให้น้ำเชื่อมนิ่งเพื่อไข่ที่หยอดจะได้ไม่แตก ถ้าใช้ไข่ไก่ผสมด้วยเนื้อขนมจะนุ่มขึ้นแต่สีที่ได้จะอ่อนลง




วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


ข้าวต้มปลาร้า
 มีประวัติยืนยันเป็นหลักฐานมาว่า "สกุลบุนนาค" มีมาตั้งแต่ครั้งกรุ่งศรีอยุธยา สืบสายได้ว่ามีสายเลือดของพ่อค้าชาวเปอร์เซียเข้ามารับราชกาลในสมัยสำเด็จพระนารายณ์มหาราช ชื่อ "เฉก อะหมัด"
(แต่เอกสารประวัติศาสตร์บ้างฉบับอ้างว่าพ่อค้าผู้นี้เข้ามาตั้งแต่สมัยปลายแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ)
เรื่องราวของพวกสกุลบุนนาคมีความพิศดารมากมาย แต่ถ้าจะเขียนถึงเรื่องอาหารคาวแล้ว พวกบุนนาคมีความสามารถในการทำอาหารมาก จนกระทั่งมีการกล่าวกันมาตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ว่า
"ถ้าเป็นเเกงมัสมั่น ต้องเป็นฝีมือพวกฟากกระโน้น"

เครื่องปรุง
ข้าวหอมมะลิใหม่,ปลาร้าอย่างดี, ปลาย่างแกะเอาแต่เนื้อหรือจะเป็นเนื้อปลาแล่เป็นชิ้นแล้วนำไปต้มก็ได้(แต่วันนี้ใช้เนื้อปลาทอดค่ะเพราะมีอยู่แล้วในตู้เย็น),
 หน่อไม้ไผ่ตง, ข่าหั่นเป็นแว่น, ตะใคร้หั่นแฉลบ,ใบมะกรูด, กระชาย, หอมแดง, 
กระเทียม, ยอดพริก, พริกขี้หนู, มะนาว

วิธีทำ
หลนปลาร้ากับน้ำเปล่าโดยใส่ข่าหั่นแว่น ตะไคร้หั่นแฉลบ ใบมะกรูด หอมแดงทุบ กระเทียม และกระชาย หลนให้ได้น้ำข้นๆ จากนั้นจึงนำมากรองเอาแต่น้ำหน่อไม้ไผ่ตงหั่นเป็นชิ้นบางๆเหมือนใช้ทำแกงจืด นำไปต้มในน้ำที่ผสมเกลือป่นประมาณ ๒ ช้อนชา หลังจากเดือดให้ต้มต่อประมาณ ๕ นาที จึงนำมากรองเอาแต่เนื้อพักไว้ ซาวข้าวให้สะอาด นำไปต้มกับน้ำจนเมล็ดข้าวสุกบาน ใส่น้ำปลาร้าที่เราหลนไว
จากนั้นใส่ข่าหั่นเป็นแว่นลงไปสัก ๖-๗ แว่น ตามด้วยหน่อไม้  พอเดือดจึงใส่เนื้อปลาย่างหรือต้ม แต่วันนี้ใช้ปลากระพงแสมทอดจนเหลืองแทนค่ะ ชิมรสดูตามชอบ ถ้าจืดก็ให้เติมเกลือ  สุดท้ายให้ใส่ยอดพริกแล้วรีบปิดไฟทันที เวลารับประทานถ้าชอบเผ็ดให้ใส่พริกขี้หนูโขลกหยาบๆ ถ้าชอบเปรี้ยวแบบต้มยำก็ให้บีบมะนาว


https://pantip.com/topic/30848028